เมนู

4. กุลลเถรคาถา



ว่าด้วยคาถาของพระกุลลเถระ


[350] เราผู้ชื่อว่ากุลละ ไปที่ป่าช้าผีดิบ ได้เห็นซากศพ
หญิงคนหนึ่ง เขาทิ้งไว้ในป่าช้า มีหมู่หนอนฟอนกัดอยู่
ดูก่อนกุลละ ท่านจงดูร่างกายอันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด
เป็นของเปื่อยเน่า มีของโสโครกไหลเข้าไหลออกอยู่
อันหมู่คนพาลพากันชื่นชมนัก. เราได้ถือเอาแว่นธรรม
แล้ว ส่องดูร่างกายอันไร้ประโยชน์ทั้งภายในและภาย
นอกนี้ ด้วยการบรรลุญาณทัสสนะ. สรีระเรานี้ฉันใด
ซากศพนั่นก็ฉันนั้น ซากศพนั้นฉันใด สรีระเรานี้ฉันนั้น
ร่างกายเบื้องต่ำฉันใด ร่างกายเบื้องบนก็ฉันนั้น ร่างกาย
เบื้องบนฉันใด ร่างกายเบื้องต่ำก็ฉันนั้น. กลางวันฉันใด
กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เมื่อ
ก่อนฉันใด ภายหลังก็ฉันนั้น ภายหลังฉันใด เมื่อก่อน
ก็ฉันนั้น. ความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง 5 เช่นนั้น ย่อม
ไม่มีแก่เรา ผู้มีจิตแน่วแน่ พิจารณาเห็นธรรมแจ่มแจ้ง
โดยชอบ.

จบกุลลเถรคาถา

อรรถกถากุลลเถรคาถาที่ 4



คาถาของท่านพระกุลลเถระ มีคำเริ่มต้นว่า กุลฺโล สิวถิกํ ดังนี้.
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าอันมีในกาล
ก่อน ได้ก่อสร้างบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิด
ในตระกูลกุฎุมพี ในนครสาวัตถี รู้เดียงสาแล้ว ฟังธรรมในสำนักของ
พระศาสดา ได้ศรัทธาจึงบวช และท่านเป็นผู้มีราคะกล้ามาแต่กำเนิด
เพราะเป็นผู้มีราคะจริต ด้วยเหตุนั้น กิเลสทั้งหลายจึงครอบงำจิตของท่าน
ตั้งอยู่เป็นเนืองนิตย์.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบจิตจริยาของท่าน จึงทรงประทาน
อสุภกรรมฐานแล้วตรัสว่า ดูก่อนกุลละ เธอพึงเที่ยวจาริกไปในป่าช้า
เนืองๆ. ท่านจึงเข้าป่าช้าเห็นอสุภทั้งหลายนั้น ๆ มีศพพองขึ้นเป็นต้น
จึงยังมนสิการถึงอสุภให้เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่พอออกจากป่าช้าเท่านั้น
ก็ถูกกามราคะครอบงำเอา. พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้นของเธออีก
วันหนึ่ง ในเวลาที่เธอไปที่ป่าช้า จึงทรงเนรมิตแสดงรูปหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง
ผู้ตายยังไม่นาน มีผิวพรรณยังดีอยู่ พอเธอเห็นรูปหญิงนั้น ก็เกิดราคะ
ขึ้นฉับพลัน เหมือนเกิดราคะในสิ่งที่เป็นวิสภาคซึ่งมีชีวิตอยู่ฉะนั้น.
ลำดับนั้น เมื่อเธอกำลังเพ่งดูอยู่นั้นแล พระศาสดาจึงทรงแสดง
รูปหญิงนั้นให้มีของไม่สะอาดไหลออกจากปากแผลทั้ง 9 (ทวาร 9) มีหมู่
หนอนคลาคล่ำ น่ากลัว มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด ปฏิกูลยิ่ง, เธอเพ่งดู
รูปนั้นอยู่ ได้มีจิตคลายกำหนัดแล้ว. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงแผ่พระ-
โอภาสแสงสว่างไป เมื่อจะยังสติให้เกิดแก่เธอ จึงตรัสว่า